พรรคประชาชาติ

ชาติของประชาชน บนฐานสังคมพหุวัฒนธรรม

“ทวี สอดส่อง”ให้กำลังใจกรรมาธิการแก้ไขปัญหาประเทศ ฝ่าด่านลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการมีรัฐสวัสดิการเพื่อปชช. แก้รากเหง้าปัญหาอย่างแท้จริง

           บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญวันที่สอง บรรยากาศคึกคักทั้งภายในและภายนอกห้องประชุม ซึ่งวิปรัฐบาลและฝ่ายค้าน มีมติร่วมกันที่จะเพิ่มวันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษ ในวันศุกร์เดือนละสองครั้ง เพื่อเร่งพิจารณากฎหมายและเรื่องที่กรรมาธิการพิจารณาแล้วเสร็จ ส่วนในสัปดาห์ใดไม่มีประชุมวันศุกร์ก็จะขยายเวลาปิดประชุมในวันพุธและพฤหัส จาก 19.00 น. 2 ถึง 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ สำนักสารสนเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำแอปพลิเคชัน แจ้งเตือนสมาชิกให้เข้าลงมติ แจ้งปฏิทินแจ้งกำหนดการประชุม รวมทั้งแจ้งประวัติการเข้าประชุมของสมาชิกแต่ละคนด้วย

           สำหรับวาระ รายงานการพิจารณาศึกษาเรื่องแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร นั้น พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ลุกขึ้นอภิปรายตอนหนึ่งว่า “ผมเป็นคนหนึ่งที่ขอชื่นชมคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคมสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ศึกษาในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอาจจะเอ่ยชื่อท่านประธาน นางสาวรังสิมา รอดรัศมี ซึ่งผมอยากให้ที่ประชุมแห่งนี้จารึกคณะกรรมาธิการชุดนี้ รวมทั้งคณาจารย์ว่าวันนี้เราได้มาแก้ปัญหาสำคัญของประเทศที่ยังไม่เห็นมีทิศทางใครจะแก้ได้ คือการนำไปสู่รัฐสวัสดิการ เพราะว่าเราต้องยอมรับว่าระบบเศรษฐกิจที่เรามาใช้แก้ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจเสรีที่อ้างว่ามีความเป็นธรรม ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีนวัตกรรม ทั้ง 2 อย่างมันไม่สามารถจะแก้ปัญหาที่เป็นโรคร้ายที่เกิดในสังคมไทยขณะนี้ คือโรคร้ายของโรคความเหลื่อมล้ำ เราจำเป็นต้องเอาระบบเศรษฐกิจที่ผมขอเรียกว่าระบบเศรษฐกิจฐานคุณธรรม ก็คือการนำเรื่องรัฐสวัสดิการหรือหลักสวัสดิการมาใช้ ท่านประธานที่เคารพครับผมขอกราบเรียนว่า ในการก่อเกิดพรรคประชาชาติของผม ซึ่งเป็นพรรคแนวสังคมพหุวัฒนธรรม คือเราให้ความสำคัญคุณค่าของมนุษย์ มีความสำคัญมีศักดิ์ศรี และก็จะต้องได้รับการดูแล เราจึงได้มีนโยบายหนึ่ง ก็คือนโยบายเชิงรัฐสวัสดิการซึ่งนโยบายนี้ก็ส่งไปที่ กกต. ก็คือเราจะส่งเสริมการมีบำนาญแห่งชาติหรือสวัสดิการทั่วหน้า”

           “ซึ่งเราเห็นว่าเป็นเรื่องที่รัฐต้องจัดให้ประชาชนอย่างเสมอหน้าด้วยสิทธิเสมอกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนภายใต้หลักการสวัสดิการเป็นสิทธิอันพึงมีของประชาชนไม่ใช่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะสงเคราะห์ตามอนาถา นี่คือนโยบายที่ส่งไป กกต. และในนโยบายเราก็เสนอว่าผู้สูงอายุจะต้องมีบำนาญ 3,000 บาท ซึ่งเราได้ผ่านการคิดวิเคราะห์ทุกระบบในการแก้ปัญหาของประเทศขณะนี้ ต้องยอมรับว่ารัฐสวัสดิการไม่ใช่แก้ปัญหาความยากจน รัฐสวัสดิการเป็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่ประเทศไทยเรามีความเหลื่อมล้ำถูกจัดลำดับบางครั้งมากที่สุดในโลก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรมีความอุดมสมบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ประชาชนยังอยู่แบบมีความเหลื่อมล้ำ ในการเกิดรัฐบาลมีสภาขึ้นมาทางพรรคประชาชาติก็ได้เสนอ พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติขึ้นมาเสนอเข้าสภาแห่งนี้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ซึ่งหลักการก็คือเราควรจะมีกองทุนสวัสดิการแห่งชาติ ซึ่งผมเห็นว่าขณะนั้นศึกษาควรจะมีเพราะว่าเราไม่เชื่อใจที่จะเอาระบบลักษณะนี้ไปอยู่ในการครอบงำของรัฐบาล ซึ่งถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนนโยบาย ถ้าเปลี่ยนนโยบายสิทธิเรื่องนี้ก็อาจจะหายไป เราจึงได้เขียน พ.ร.บ.ไปมีกองทุนลักษณะที่คล้ายองค์กรอิสระ ซึ่งมีตัวแทนภาคประชาสังคมมากกว่ารัฐบาลที่อยู่ในคณะกรรมการ ข้อ 1 ก็คือเราเห็นว่าสวัสดิการไม่ว่าจะยากดีมีจนคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะต้องได้รับคนรวยที่สุดคุณก็ได้รับแล้วคุณก็มาเสียภาษีเอา คนจนที่สุดก็ได้รับเพราะอะไรอันนี้คือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นสิทธิที่เขาต้องยืนอยู่คุณไม่ต้องมาสงสารนี่คือโอกาสของฉันที่จะอยู่ ผมเชื่อว่าคนที่มีฐานะวันละ 100 บาท 2 คน 200 บาทเขาสามารถอยู่ในสังคมได้ อันนี้เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาความยากจนความเหลื่อมล้ำของประเทศ ผมไม่เชื่อว่ามีนักเศรษฐกิจคนใดที่มาพูดวันนี้จะแก้ปัญหาได้เพราะวันนี้ยิ่งเดินไปมันยิ่งเหลื่อมล้ำ อันนี้จึงเป็นที่มา”

           “ผมจึงขอให้กำลังใจเพราะร่างของพรรคประชาชาติ ถูกท่านนายกฯปัดตกเป็นร่างการเงินเหมือนหลายพรรคที่มาพูดถึง เพราะท่านอาจจะมองผู้สูงอายุกลุ่มนี้ยังไม่ถึงท่านอาจจะมองคนรวยก่อน ท่านประธานที่เคารพครับผมมีตัวเลขของบประมาณปี 2566 ท่านประธานทราบไหมว่าเรามีสวัสดิการผู้สูงอายุ ซึ่งมีคนประมาณ 11 ล้านคน รวมบัตรทอง ประมาณ 320,000 ล้าน ถ้าเบี้ยผู้สูงอายุอย่างเดียวไม่ถึง 80,000 ล้านบาท  แต่เรามีสวัสดิการของคนเกษียณซึ่งมีไม่ถึงล้านคนตัวเลขจากกรมบัญชีกลางก็เท่ากันประมาณ 3 แสน 2 หมื่นล้าน ถ้าไปบวกกับเงินค่ารักษาพยาบาลก็มากกว่า คนไม่ถึงล้านคนมีสวัสดิการมากกว่าคน 11 ล้านคน อันนี้คือความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัด คือผมก็เป็นอดีตข้าราชการเก่าผมไม่ได้ไปตำหนิตรงนั้น แต่ท่านประธานผมอยากให้มองเห็นว่าในปี 2556-2557 ที่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาตอนนั้นสวัสดิการเกษียณอายุแค่ประมาณ 1 แสนล้าน วันนี้พอท่านยึดอำนาจมา 8 ปี เพิ่มเป็น 3 เท่า เพราะอะไรรู้ไหมครับ หนึ่งในจำนวนนั้นคือรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บัญญัติว่ารัฐสภา องค์กรอิสระ หรือศาลจะต้องมีงบบุคคลที่เพียงพอ แต่รัฐบาลชุดนี้หวังจะขยายอำนาจไปเขียน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 20 (2) ให้บุคลากรของรัฐมีเงินเดือนและสวัสดิการอย่างเพียงพอมันจึงวิ่งขยายไป แทนที่จะไปเขียนให้ประชาชนมีสวัสดิการอย่างเพียงพอ เวลาผมน้อยนะครับ ผมจึงขอให้กำลังใจกรรมาธิการทุกท่านที่ได้ทำสิ่งที่เราฝันและก็สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ คือท่านได้แก้ปัญหารากเหง้าของประเทศไทยอย่างแท้จริง” พันตำรวจเอกทวี กล่าว